การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เรื่อง ภูมิศาสตร์ทวีปยุโรป รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ตรวจสอบประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ ตามเกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนพรเจริญวิทยาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมจำนวนทั้งสิ้น 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 50 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating scale) จำนวน 16 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีชนิดไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test)

ผลการวิจัยพบว่า 

1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.70/86.80 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ 80/80

2. กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6118 (คิดเป็นร้อยละ 61.18) ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ตั้งแต่ร้อยละ 50

3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 

4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( x^- = 4.58, S.D. = 0.56)

The purposes of this research were to: 1)  develop learning activities using 5E for Social studies, Region, and Culture Course entitled A Geography of Europe for  Mathayomsuksa 2 students to meet the criteria efficiency of 80/80, 2) validate the effectiveness of learning activities in accordance with the effectiveness index of 50 percent or above, 3)  compare students’ learning achievement before and after learning through learning activities, and 4) examine the student satisfaction toward learning activities. The sample was secondary school students in class 2/2 from Porncharoen Witthaya School under the Secondary Educational Service Area Office 21 in the first semester of academic year 2019. The participants were from one class consisting of 30 students, which were obtained through cluster random sampling. The research instruments were 1) 10 lesson plans based on 5E, 2) a learning achievement test with 50 items, and 3) a 5-point rating scale satisfaction questionnaire of students toward the developed learning activities consisting of 16 items. The statistics for data analysis were percentage, mean, standard deviation and Dependent samples t-test.

 The findings were as follows:

1. The developed learning activities had an efficiency of 82.70/86.80, which was higher than the criteria set of 80/80.

2. The developed learning activities had an effectiveness index of 0.6118 (accounting for 61.18 percent), which passed the set criteria of 50 percent.

3. The students’ learning achievement after the intervention was higher than that of before at a statistical significance of .01 level.

4.  The students' satisfaction toward the developed learning activities as a whole was at the highest level ( x = 4.58, S.D. = 0.56).