การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานเทศบาลในเขตอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม 2) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การของพนักงานเทศบาล 3) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การจำแนกตามคุณลักษณะส่วนบุคคล และ 4) ศึกษาอิทธิพลของคุณภาพชีวิตการทำงานที่มีต่อความผูกพันต่อองค์การของพนักงานเทศบาล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ พนักงานเทศบาล ลูกจ้างประจำ พนักงานจ้าง ตามภารกิจ และพนักงานจ้างทั่วไป สังกัดเทศบาลในเขตอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสถิติ (t-test) และ One–Way ANOVA และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis)

ผลการวิจัยพบว่า

1. กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 50.70 ตำแหน่งพนักงานเทศบาล คิดเป็นร้อยละ 40.80 ระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 53.90 ประสบการณ์ในการทำงาน (ณ ที่ทำงานปัจจุบัน) 7 ปี ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 36.80

2. ระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานเทศบาล ในเขตพื้นที่อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅=3.46) 

3. ระดับความผูกพันต่อองค์การของพนักงานเทศบาล ในเขตพื้นที่อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X̅=3.72) 

4. เมื่อจำแนกตามเพศพบว่าคุณภาพชีวิตในการทำงานด้านการได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนความผูกพันต่อองค์การกลับไม่พบความแตกต่างระหว่างเพศอย่างมีนัย

5. คุณภาพชีวิตในการทำงาน รวม 8 ด้านส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การของพนักงานเทศบาล มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.00 อธิบายความผูกพันที่มีต่อองค์การได้สูงถึงร้อยละ 76.3 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีเพียง 2 ด้านเท่านั้นที่มีนัยสำคัญโดยเรียงลำดับค่าสัมประสิทธ์จากมากไปหาน้อยคือ ด้านความเป็นประโยชน์ต่อสังคม มีค่าสัมประสิทธ์ = .527 และด้านจังหวะชีวิต มีค่าสัมประสิทธ์ = .233

The purposes of this study were: 1) to investigate a degree of quality of work life of employees of municipalities in the Si Songkhram district area, Nakhon Phanom province, 2) to examine a degree of organizational commitment of employees of municipalities, 3) to compare quality of work life and organizational commitment as classified by personal background, and 4) to examine the influence of quality of work life on organizational commitment of employees of municipalities. A sample used was municipal staff, full-time employees, employees hired temporarily and general employees in the municipalities in the Si Songkhram district area, Nakhon Phanom province totaling 152 people. The instrument used was a questionnaire created by this author. Statistics used in data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, one-way ANOVA and multiple regression analysis.

The findings were as follows.

1. Most of the respondents or 50.70% were males; 40.80% of them were municipal staff; 53.90% of them graduated with a bachelor degree; and 36.80% of them had 7 years of work experience or over at the present organization.

2. The quality of work life of employees in municipalities in the Si Songkhram district area, Nakhon Phanom province was at moderate level (mean = 3.46).

3. The organizational commitment of employees in municipalities in the Si Songkhram district area, Nakhon Phanom province was at high level (mean = 3.72).

4. As classified by sex, a significant difference at the .05 level was found in quality of work life for the aspect of receiving adequate compensation and justice, whereas the organizational commitment was found not different between both sexes. 

5. Quality of work life of all 8 aspects had significant influence on organizational commitment of employees of municipalities at the .00 level and this could explain organizational commitment as high as 76.3%. As each aspect was considered, only 2 aspects were found significant, which can be arranged in order from higher to lower coefficients. The aspect that had the highest coefficient was of social benefits with its coefficient of .527; and the aspect of the rhythm of life had an efficiency of .233.